Thai Elephant-assisted Therapy Project ภาพรวมประเทศไทย ที่เป็นข้อเสีย...
ReadyPlanet.com


ภาพรวมประเทศไทย ที่เป็นข้อเสีย และควรพัฒนา


ภาพรวมของประเทศไทย

ประเทศไทย ภาพรวมเมืองไทย ตอน ข้อเสีย ราษฎรกำเนิดน้อย ปัญหาหลักของเมืองไทยในขณะนี้ที่จะมีผลไปสู่อนาคตอีกนานนับหลายทศวรรตนั้นก็เป็นอัตราการเกิดของสามัญชนที่ลดต่ำเป็นอย่างมาก ถ้าหากพวกเราเอ๋ยถึงการเจริญเติบโตของประเทศแน่ๆว่าจำต้องเอ๋ยถึงเรื่องของ GDP ที่เป็นตัวประเมินผลผลิตของประเทศ ผลิตผลนั้นจะเกิดขึ้นได้ควรจะมีการผลิตรายได้ให้แก่ประเทศเกิดขึ้น และก็เฟืองที่สำคัญเลยก็คือคนทำงานภายในประเทศนั่นเอง

 
โดยมากแล้วประชาชนที่มีประสิทธิภาพสำหรับในการสร้างผลิตผลนั้นจะอยู่ในช่วงอายุ 20 – 60 ปี หรือก็คือหลังสำเร็จการศึกษาจนกระทั่งวัยเกษียณ จากการที่ราษฎรกำเนิดลดลงนำมาซึ่งการทำให้รูปทรงประชาชนของประเทศนั้นมีการเปลี่ยนในแต่ละช่วงอายุ แม้คิดโดยประมาณพวกเราก็บางทีก็อาจจะสามารถจำได้ว่าช่วงอายุ 20 – 60 นั้นก็จะมีทิศทางลดน้อยลง และก็รูปร่างคนวัยแก่เกิน 60 นั้นก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วพลเมืองซึ่งสามารถสร้างผลิตผลได้ก็ย่อมจะลดน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย
 
สังคมคนวัยแก่นั้นพวกเราก็คงจะได้ยินกันชินหูแล้ว ซึ่งจะต้องเห็นด้วยว่าเมืองไทยกำลังเดินทางไปสู่สมัยของผู้อาวุโสอย่างเร็ว ข้างใน 10 – 20 ปีด้านหน้าพวกเราจะพบว่ามีการคาดหมายไว้ว่ารูปทรงคนวัยชรามากยิ่งกว่า 60 ปีขึ้นไป จากตอนนี้อยู่ที่โดยประมาณ 15% จะขึ้นเป็น 23% ในอีกสิบปีด้านหน้า แล้วก็พบว่าเด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 25 ปี จะน้อยลงจากรูปทรงราวๆ 32% ในขณะนี้ลงเหลือ 27% ในอีกสิบปีด้านหน้า
 
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆพวกเราจะพบว่าประเทศที่มีสามัญชนแก่ลงนั้นก็มีหลายประเทศที่กำลังพบเจออยู่ได้แก่ประเทศญี่ปุ่นและก็จีน แม้กระนั้นความไม่เหมือนระหว่าง 2 ประเทศนี้ก็คืออัตราการเจริญเติบโตของประเทศ ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีการชะลอตัวมานานนับทศวรรตในช่วงเวลาที่จีนกลับมาการเจริญเติบโตที่สูงมากมายว่าทศวรรต ทำไมที่ทำให้ 2 ประเทศที่มีองค์ประกอบมวลชนที่กำลังแก่ชราลงกันแม้กระนั้นอัตราการเจริญเติบโตแตกต่างอย่างยิ่ง คำตอบนี้น่าจะเป็นทางออกสำหรับเมืองไทยสำหรับในการเติบโตถัดไปในอนาคต
 
ประเทศอย่างเวียดนาม อินโดนีเซียรวมทั้งเขมรนั้นมีองค์ประกอบราษฎรที่ต่างจากไทยอย่างยิ่ง อัตราการเกิดที่สูงกว่ามากมาย ถ้าหากเปรียบเทียบเป็นเปอเซนต์แล้ว ทั้งยังไทย จีนแล้วก็ประเทศญี่ปุ่นต่างก็มีอัตราการเกิดที่ไม่ถึงปีละ 0.5% แม้กระนั้นประเทศได้แก่เวียดนามรวมทั้งที่อยู่ในแถบ CLMV นั้นกลับมาอัตราการเกิดของสามัญชนที่มากกว่า 1% ต่อปีแทบทั้งหมด ส่วนนี้เองทำให้การเจริญเติบโตของประเทศยกตัวอย่างเช่นเวียดนามนั้นมีการเติบโตเป็นอย่างมาก
 
แล้วเพราะอะไรจีนที่มีการเติบโตของพลเมืองต่ำถึงมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างจะสูงในทศวรรตก่อนหน้านี้? จุดต่างระหว่างประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งจีนสำคัญๆก็คือเรื่องของอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้ประเทศ จะสังเกตุว่าในความเป็นจริงแล้วจีนเริ่มมีการเปิดประเทศมาไม่นาน รวมทั้งภายหลังจากการเปิดประเทศนั้นก็กระตุ้นให้เกิดของอุตสาหกรรมใหม่ๆมากเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมใหม่นี้มีมูลค่าสูงขึ้นยิ่งกว่าอุตสาหกรรมเดิมที่เมืองจีน นอกเหนือจากการมีอุตสาหกรรมใหม่แล้ว จีนยังสามารถขยายตลาดออกมากขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งตัวแปรทั้งคู่นี้ก็เป็นสาระสำคัญสำหรับในการเติบโตของเศรษฐกิจของจีน แตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นที่แทบไม่มีอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมาเลยและก็ประกอบกับประเทศญี่ปุ่นนั้นมีตลาดอยู่ทั้งโลกไปก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาแล้ว ทั้งปวงสามารถเรียกได้สั้นๆว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นมีฐานเศรษฐกิจที่สูงอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าวการเจริญเติบโตก็เลยยากกว่าจีนอย่างมีความนัย คำตอบที่ตรงนี้ก็เลยน่าจะเป็นตัวใบ้ที่ดีสำหรับเมืองไทย ถ้าเกิดอยากเติบโตในอนาคตขณะที่มีอัตราการเกิดต่ำ เมืองไทยจำเป็นที่จะต้องมีอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงมากขึ้นและก็ขยายการบริโภคให้เพิ่มมากขึ้นนอกจากในประเทศไทย
 
ค่าตอบแทนเริ่มแพง
เมืองไทยในอดีตกาลมีลักษณะเด่นที่สำคัญต่อการประลองเป็นอย่างมากเทียบกับประเทศอย่างประเทศญี่ปุ่น สหรัฐ หรือยุโรป ซึ่งก็คือเรื่องของค่าตอบแทน การที่มีค่าแรงต่ำนั้นมักยั่วยวนใจคนต่างชาติให้มาลงทุนในไทยอย่างมีความนัย ยกตัวอย่างเช่นโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ฯลฯ วิธีการทำธุรกิจนั้นแน่ๆว่าทุนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจ แม้ทุนสูงช่องทางที่จะแข่งในตลาดได้ก็จะลดน้อยลงเนื่องจากว่าถ้าหากมีการแข่งขันราคา การที่มีต้นทุนสูงนั้นทำให้ชิงชัยได้ตรากตรำเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหตุว่ายิ่งชิงชัยในตอนที่ทุนสูงยิ่งกว่ารายอื่นจะมีผลให้ผลกำไรลดน้อยลง และก็นอกเหนือจากนั้นบางทีอาจถึงกับขนาดขาดทุนได้
 
เมื่อการลดทุนเป็นหัวใจสำคัญสำหรับธุรกิจ โดยเหตุนั้นการลงทุนในประเทศไทยก็เลยเป็นทางออกที่ดีสำหรับหลายๆอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมด้านที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เมื่อเมืองไทยเป็นจุดมุ่งหมายของการลงทุนเพราะว่ามีค่าแรงที่ไม่แพง โดยเหตุนั้นเมื่อมีบริษัทที่ย้ายฐานการสร้างมายังเมืองไทยย่อมทำให้มีคนอื่นๆตามมาด้วย เพราถ้าหากว่าไม่ย้ายฐานการสร้างมายังเมืองไทยโน่นแสดงว่าทุนจะแพงกว่าคู่ปรับ
 
กลับมายังเดี๋ยวนี้พวกเราจะสังเกตุว่าเมืองไทยนั้นมีการขึ้นค่าแรงกันอยู่บ่อยมาก การขึ้นค่าแรงนั้นมูลเหตุหลักก็คงจะมาจากค่ายังชีพที่สูงขึ้นอย่างเร็วมากยิ่งกว่ารายได้ การขึ้นค่าแรงนั้นจะเกิดผลดีต่อมวลชนโดยตรง ทำให้มีกำลังจับจ่ายกันมากยิ่งขึ้น แม้กระนั้นระยะยาวแล้วจะเกิดโทษต่อประเทศเป็นอย่างมากเพราะว่านั้นมีความหมายว่าเงินลงทุนของบริษัทที่เข้ามาลงทุนจะสูงมากขึ้นแล้วก็แนวโน้มที่บริษัทมากหมายจะเลือกเมืองไทยเป็นฐานการสร้างก็จะลดลง อย่าลืมว่าประเทศ CLMV นั้นมีต้นทุนที่ยังต่ำลงมากยิ่งกว่าเมืองไทย ค่าเหนื่อยในประเทศกรุ๊ป CLMV ที่ถูกกว่าเมืองไทยนั้นจะไม่ใช่ปัญหาเท่าไรนักแม้ขาดในเรื่องของประสิทธิภาพสำหรับการผลิต แม้กระนั้นข้อเท็จจริงเป็นการพัฒนาเจ้าหน้าที่ของประเทศในกลุ่มนี้เร็วมากมายจนถึงตอนนี้นั้นมีอุตสาหกรรมใหม่ๆขึ้นมาแข่งกับไทยเยอะขึ้น แม้ว่าเมืองไทยจะยังมีความเป็นต่อในเรื่องของประสิทธิภาพแล้วก็ประสบการณ์ที่นานกว่า แม้กระนั้นการได้เปรียบที่ตรงนี้ได้โอกาสที่น้อยลงได้ ด้วยเหตุดังกล่าวเมืองไทยก็เลยไม่อาจจะละเลยส่วนนี้ได้เลย
 
ขาดอุตสาหกรรมใหม่
อุตสาหกรรมของประเทศนั้นเป็นตัวเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เมื่อมองภาพรวมทั้งโลกแล้วพวกเราจะพบว่าแต่ละประเทศนั้นก็จะมีอุตสาหกรรมเด่นๆของตนเป็นหลัก ประเทศที่ปรับปรุงแล้วนั้นมีอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงยิ่งกว่าประเทศที่กำลังปรับปรุง และก็แน่ๆว่าเมื่ออุตสาหกรรมมีมูลค่าสูงขึ้นยิ่งกว่า การดูดจำนวนเงินจากต่างแดนเข้ามายังประเทศย่อมมีทิศทางที่ดีมากกว่าอุตสาหกรรมที่ราคาต่ำ
 
รายได้หลักของเมืองไทยนั้นประกอบไปด้วยหลายอุตสาหกรรมอาทิเช่นการสร้างรถยนต์ การท่องเที่ยว การแพทย์ การกสิกรรม รวมทั้งอีกหลายๆอย่าง โดยรวมแล้วจัดว่ามีค่อนข้างจะนานาประการอุตสาหกรรมอย่างยิ่งจริงๆ แม้แบ่งตามบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดค้าหุ้นไทยก็จะเจอบริษัทจากนานัปการอุตสาหกรรมอย่างเช่น PTT, AOT, AIS, SCB, SCG, CP, โรงหมอกรุงเทวดาดุสิตเวชการ รวมทั้งฯลฯ แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วพวกเราจะพบว่าบริษัทพวกนี้เองมิได้ถือได้ว่าอุตสาหกรรมที่ใหม่นัก
 
พวกเราทดลองไปตรวจบริษัทที่มีมูลค่าเยอะที่สุดในประเทศสหรัฐกันบ้างว่าเป็นบริษัทประเภทใด ย้อนกลับไปยังปี 2001 พวกเราจะพบว่าบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดเช่น General electric, Microsoft, Citi, Exxon แล้วก็ Walmart ซึ่งแต่ละบริษัทนั้นก็มองคล้ายกับเมืองไทยปัจจุบันนี้มากมายเป็นมีขายปลีก พลังงาน แล้วก็การคลัง แม้กระนั้นถ้าเกิดพวกเรากลับมามองตอนนี้พวกเราจะพบว่าบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดนั้นได้แปลงอุตสาหกรรมไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น Apple, Alphabet(Google), Microsoft, Amazon และก็ Facebook
 
ที่จริงแล้วพวกเราบางทีอาจจะไม่อาจจะเปรียบราคาบริษัทกับ GDP ได้โดยตรงนัก แต่ว่าประเด็นหลักพวกเรามิได้ปรารถนาคำนวนจำนวนขนาดนั้น การเปรียบเทียบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมที่มีมูลค่านั้นได้เปลี่ยนไปแล้วถ้าพวกเรามองสหรัฐเป็นตัวอย่าง การที่เมืองไทยนั้นขาดอุตสาหกรรมใหม่ทำให้ปัจจุบันนี้การเจริญเติบโตของประเทศดูเหมือนกับว่ากำลังรับประทานบุญเก่าที่เคยสร้างไว้เมื่อสิบกว่าปีกลาย ในช่วงเวลาที่เงินเดือนนั้นมีลัษณะทิศทางที่แพงขึ้นแต่ว่าความรู้ความเข้าใจของเมืองไทยยังไม่สามารถที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงมากขึ้นได้ วันหนึ่งใกล้จะถึงข้อจำกัดแล้วก็ถูกประเทศอย่างเวียดนามตามทันอย่างแน่แท้
 
ขอย้อนกลับไปถึงจีนที่มีการเติบโตของมวลชนที่ต่ำแม้กระนั้นการเจริญเติบโตของประเทศยังอยู่ในระดับที่สูงได้ด้วยเหตุผลก็คืออุตสาหกรรมของจีนใหม่ๆนั้นมีมูลค่าสูงมากขึ้น ซึ่งทำให้ความสามารถการเจริญเติบโตนั้นเพิ่มตามค่าของอุตสาหกรรม โดยเหตุนั้นทางออกของปัญหานี้ดูเหมือนจะเป็นการที่เมืองไทยควรต้องบากบั่นสร้างอุตสาหกรรมใหม่ตามความเคลื่อนไหวของความอยากได้ของโลก อาทิเช่น การพัฒนาจากเป็นผู้สร้าง Harddisk แบบจานหมุน ซึ่งตอนนี้ความอยากได้ลดลงเป็นอย่างมาก หันมาผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่าง Harddisk แบบ SSD ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญใน Smart phone แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างเพื่อเห็นภาพแค่นั้น แต่ว่าแม้กระนั้นขั้นต่ำจำเป็นต้องปรับปรุงมาตรฐานของประเทศให้เหมาะสมกับตลาดของโลกที่เปลี่ยน
 
สรุป
ในด้านของการลงทุนนั้น ถ้าเกิดประเทศมีการเติบโตนั้นแสดงว่าบริษัทภายในประเทศมีการเติบโตเช่นเดียวกัน โดยเหตุนั้นถ้าพวกเราเอ๋ยถึงการลงทุนแบบ Bottom up นั้นก็ได้โอกาสที่ง่ายมากยิ่งขึ้นที่กำลังจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ถ้าเกิดบริษัทมีการเติบโตตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นก็ควรมีดรรชนีที่สูงขึ้นด้วย รวมทั้งแน่ๆว่า fund flow ก็ย่อมจำต้องเข้ามาสู่ตลาดค้าหุ้นของไทย
 
แม้กระนั้นแม้กระทั่งไม่เกี่ยวกับการลงทุน การเจริญเติบโตของประเทศก็ต้องเป็นสิ่งที่คนประเทศไทยต้องการของทุกคน เพราะว่านั้นจะทำให้เกิดรายได้ที่ดียิ่งขึ้น มีกำลังใช้จ่ายเยอะขึ้น มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ดียิ่งขึ้น แต่ว่าดังนี้แม้ทุกคนมัวแต่คอยเศรษฐกิจก็ดีหวังว่าจะสุขสบายนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่รู้ผิด เนื่องจากว่าในความเป็นจริงแล้วเมืองไทยจะเติบโตได้ก็ควรต้องมาจากการเจริญเติบโตของทุกคนในประเทศ ไม่ใช่หน้าที่ผู้ใดกันแน่ผู้ใดผู้หนึ่ง พวกเราปฏิบัติภารกิจของพวกเราให้ดี ปรับปรุงตนเองอยู่เสมอเวลา สองแบบนี้เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อเมืองไทยที่เติบโต


ผู้ตั้งกระทู้ Sarot :: วันที่ลงประกาศ 2023-01-27 14:00:26


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2011 All Rights Reserved.